Fluent Focus Lifestyle 6 จุดความเสียหายของรถที่เกิดขึ้นบ่อย รู้ไว้จะได้ระวังให้มากขึ้น

6 จุดความเสียหายของรถที่เกิดขึ้นบ่อย รู้ไว้จะได้ระวังให้มากขึ้น


รถชน

ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันภัยรถยนต์ มานั่งเช็คเบี้ยประกันรถยนต์เพื่อตัดสินใจทำกับบริษัทไหนถึงจะเหมาะสมกับตัวเรา ในช่วงนั้นขับรถอย่างไรก็ไม่มีปัญหา แต่พอเช็คเบี้ยประกันรถยนต์เสร็จ ตัดสินใจทำประกันเรียบร้อย ขับรถไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะต้องมีอุบัติเหตุเฉี่ยวชนเป็นปัญหาให้เราต้องหนักใจในเรื่องของการเคลมประกันทุกที หลายคนเจอปัญหาในลักษณะนี้ หากเสียหายเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเสียหายเยอะก็น่ากังวลใจ เพราะหากเราทำประกันไว้ไม่ครอบคลุม ก็ต้องมีส่วนที่เราต้องออกค่าใช้จ่ายเองด้วย เราจึงของรวบรวม 6 จุดความเสียหายของรถที่เกิดขึ้นบ่อยมาให้คุณได้ทราบ เพื่อให้คุณได้ระวังให้มากขึ้นเวลาขับรถ จะมีจุดไหนบ้างไปดูกัน

1.มุมของกันชนหน้า – หลัง

ในส่วนแรกนี้มักจะเป็นปัญหาในเรื่องของรอยครูด รอยขีดข่วนต่าง ๆ หรืออาจจะมีรอบบุบร่วมด้วย ความเสียที่จะเกิดในเรื่องนี้ส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นที่บริเวณมุมของกันชนหน้าและกันชนหลังของรถ ซึ่งเกิดจากการถอยรถไปชน บางคนถอยรถจากลานจอดไปชนขอบถังขยะ หรือวัสดุอะไรบางอย่าง และอาจเกิดจากการขับเข้าไปเทียบกับรถกันอื่นใกล้เกินไป บริเวณมุมของกันชนเป็นส่วนที่ต้องรับแรงเสียดสีก่อนอยู่แล้วจึงเกิดปัญหาความเสียหายได้ง่ายและบ่อยที่สุด การเกิดรอยเป็นสิ่งที่ยังพอแก้ไขได้ แต่ถ้าเป็นรอยบุบ รอยแตกล่ะก็อันนี้ก็คงต้องมีการเคลมประกัน

2.จุดเก็บของเหลวในรถรั่ว

ปัญหาของเหลวในรถรั่ว ทำให้เกิดรอยน้ำหยดบนพื้น ปัญหานี้อาจเกิดจากการขับขี่ของเราเองก็ได้ อาจเกิดจากอุปกรณ์บางอย่างในรถไม่ได้มาตรฐานหรือเสื่อมสภาพก็ได้ ซึ่งของเหลวที่หยดลงมาอาจเป็นน้ำจากระบบแอร์ในรถ หรือน้ำมันเบรก ซึ่งมักจะรั่วจากใต้ท้องรถ เบื้องต้นคุณอาจจะต้องตรวจเช็คหม้อน้ำต่าง ๆ ก่อนว่ามีจุดรั่วให้เห็นหรือไม่ ถ้าเช็คแล้วไม่พบก็แนะนำหาช่างมาซ่อม หรือนำรถเข้าศูนย์ได้เลย

ส่วนจะเคลมประกันได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่าอาการรั่วนั้นเกิดขึ้นจากอะไร หากเป็นเหตุเกิดขึ้นฉับพลันในลักษณะอุบัติเหตุ ก้อนหินหรือกิ่งไม้ไปกระแทกถูกหม้อน้ำหรือจุดเก็บของเหลวเป็นสาเหตุให้ของเหลวรั่ว กรณีแบบนี้ประกันภัยรถยนต์จะดูแลอยู่แล้ว แต่ถ้าเกิดจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติอันนี้ประกันจะไม่ชดเชยให้ เวลาจะทำประกันจึงอยากแนะนำให้เช็คเบี้ยประกันรถยนต์และพิจารณาเรื่องความคุ้มครองให้ดี จะได้รู้ว่าที่เราจะจ่ายไปนั้นคุ้มค่าและเหมาะกับสไตล์การขับขี่ของเราแค่ไหน

3.เครื่องยนต์มีเสียงดังแบบแปลก ๆ

ตอนสตาร์ทก็ไม่พบความผิดปกติใด แต่พอขับ ๆ ไปสักพัก กลับได้ยินเสียงแปลก ๆ จากห้องเครื่อง ซึ่งเสียงที่ดังมานั้น อาจเกิดขึ้นที่สายพานของเครื่องยนต์ หากเกิดเสียงดังในช่วงที่เหยียบเบรกก็อาจเกิดขึ้นจากผ้าเบรกเสื่อม หรือจานเบรกเสีย ให้คุณลองเช็คซ้ำว่าเสียงดังมาจากระบบไหนช่วงไหนในการขับขี่ ถ้ามั่นใจแล้วก็เข้าศูนย์ซ่อมได้เลยเพราะอาการเหล่านี้ไม่ปกติกับรถแน่นอน

4.เกิดกลิ่นไหม้โดยไม่รู้ว่ามาจากจุดไหน

ปัญหานี้เกิดความเสียหายได้หลายจุดทีเดียว ตั้งแต่ผ้าเบรกไหม้ ลูกสูบไหม้ ท่อไอเสียแตก ระบบไฟฟ้าในรถขัดข้อง ซึ่งเป็นไปได้ทุกจุดเลย เบื้องต้นหากได้กลิ่นไหม้ก็ให้หยุดขับ ตรวจสอบที่มาของกลิ่นเบื้องต้น ถ้าไม่มีความชำนาญ จะโทรเรียกช่างหรือ เรียกประกันมาช่วยเคลมก็ได้ กรณีประกันชั้น 1 มักจะดูแลครอบคลุมในเรื่องเหล่านี้ด้วย แต่อย่างไรก็ดีก็ต้องดูด้วยว่าปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร ถ้าเป็นอุบัติเหตุประกันเคลมได้แน่ จึงอยากจะย้ำเสมอว่าช่วงเวลาเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันแบบไหน ก็ให้ดูความคุ้มครองด้วย กรณีแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับเราได้ เลือกจ่ายที่คุ้มครองแบบคุ้มค่าดีกว่า

5.ยางแตก ยางเสื่อม

อีกจุดความเสียหายที่พบบ่อยและไม่ว่ารถแบบไหนก็เจอได้กับปัญหาเรื่องของยางแตก ยางเสื่อมสภาพ ยางเสื่อมนั้นเราอาจพอเช็คได้ก่อนขับ แต่กรณียางแตกนั้นบางทีก็ต้องทำใจ เพราะขับ ๆไปอาจเจอเศษตะปู เศษแก้ว อย่างไรก็ดีเราก็ควรมียางอะไหล่สำรองเตรียมไว้จะได้เดินทางต่อไปได้

6.กระจกข้าง

จุดสุดท้ายก็เสียหายบ่อยเหมือนกันกับกระจกข้างรถ ทั้งในกรณีที่เกิดการเฉี่ยวชน หรือกรณีที่มีการโจรกรรม ซึ่งหากถูกโจรกรรมกระจกจะถูกถอดออกไปเลย ซึ่งปัจจุบันปัญหาแบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อย ๆ เป็นปัญหากวนใจคนมีรถไม่น้อยเลยทีเดียว

ทั้งหมดนี้คือ 6 จุดความเสียหายของรถที่เกิดขึ้นบ่อย เมื่อคุณรู้แล้วก็ขอให้ระวังในการขับขี่และหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอก่อนที่จะขับขี่ไปที่ไหน และที่สำคัญเช็คเบี้ยประกันรถยนต์ก่อนที่จะตัดสินใจทำหรือต่อประกันภัยครั้งหน้า อย่าลืมดูเรื่องสิทธิประโยชน์ในการคุ้มครองด้วย คุณจะได้รู้ว่าประกันระดับนั้น ๆ คุ้มค่าเหมาะสมกับการใช้รถของคุณหรือไม่ จะได้อุ่นใจมากขึ้น